ページ1:

2. ทฤษฎีว่าด้วยรัฐ
แนวการตอบ
รัฐ คืออะไร : รัฐเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม
ได้รับการพัฒนาผ่านความคิดของนักปรัชญาที่วิเคราะห์สภาพความเป็น
จริงเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องของอำนาจสูงสุดในการปกครอง เป็นสถาบันที่ยอมรับกันในสังคมสมัยใหม่ว่าเป็นสิ่ง
ที่มีอยู่จริง และเป็นสถาบันที่แยกออกมาจากตัวผู้ปกครองที่เป็นตัวบุคคล
จุดกำเนิดของทฤษฎีว่าด้วย “รัฐ” : นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามครูเสด ศาสนจักรเริ่มเสื่อมลงเนื่องจากประชาชน
ส่วนใหญ่มองว่าศาสนจักรเป็นสาเหตุของการนำประชาชนเข้าสู่สงคราม กษัตริย์ได้พยายามใช้พระราชอำนาจ
เรียกคืนที่ดินจากเหล่าขุนนางโดยอ้างหลักกฎหมายเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินในมรดก
ทฤษฎีว่าด้วยรัฐ จึงมีที่มาจากการยอมรับ “อำนาจ” เกิดขึ้นมาเพื่อปฏิเสธอำนาจของขุนนาง ศักดินา
และพระสันตะปาปา โดยแบ่งแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักร ยกสถานะของอาณาจักรเป็นรัฐ ภายใต้แนวคิด
ที่ว่า อำนาจในการปกครองเป็นของกษัตริย์ โดยมีนักปรัชญาที่สำคัญ ได้แก่
ดองต์ (Dante) ได้กล่าวทฤษฎีว่าด้วยรัฐไว้ว่า อำนาจของกษัตริย์เป็นอำนาจทางการเมืองมาจาก
พระเจ้าโดยตรง ไม่ผ่านพระสันตะปาปาและศาสนจักร ดังนั้น ในทางการเมืองกษัตริย์จึงเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับ
พระสันตะปาปา
มาร์ซิลเดอ ปาดู ได้กล่าวทฤษฎีว่าด้วยรัฐไว้ว่า ศาสนจักรจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรซึ่งมี
อำนาจสูงสุด
นิโคลาส แมคคีอาเวลลี (Machiavelli) ได้กล่าวทฤษฎีว่าด้วยรัฐไว้ว่า รัฐมีสถานะเหนือกว่าอาณาจักร
อำนาจการปกครองเป็นอำนาจของรัฐ โดยรัฐอาจแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ สาธารณรัฐและราช
อำนาจของศาสนจักรต้องแยกออกจากอำนาจของอาณาจักรอย่างเด็ดขาด
อาณาจักรรัฐ
แนวคิดเกี่ยวกับรัฐ เกิดขึ้นมาเพื่อแยกเรื่องการปกครองบ้านเมืองออกจากอำนาจของศาสนจักรและ
สร้างความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นภายในอาณาจักร เน้นรัฐแบบราชอาณาจักรที่ปกครองโดยเจ้าชาย เจ้าชาย
เป็นทั้งผู้นำและสถาบันที่ใช้อำนาจปกครองในเวลาเดียวกัน นอกจากจะต้องมีคุณธรรมแล้ว ในบางครั้งจะต้อง
เรียนรู้การเป็นคนไม่ดีด้วย “สร้างความชอบธรรมให้การใช้อำนาจของกษัตริย์ตลอดเวลา” เพื่อให้ตนเองอยู่
รอดและรักษาความเป็นรัฐให้คงอยู่ไว้ให้ได้ เป็นการกระทำเพื่อรักษาความเป็นสถาบันของรัฐเอาไว้
Made with Goodnotes

ページ2:

แนวข้อสอบ กฎหมายมหาชนเบื้องต้น S105
1. อิทธิพลของระบบศักดินาสวามิภักดิ์กับศาสนาคริสต์ที่มีผลต่อกฎหมายในยุคกลาง
แนวการตอบ
จุดเริ่มต้น : ปัจจัยสำคัญสองประการที่มีอิทธิพลต่อระบบกฎหมายและการเมืองการปกครองในยุคกลาง ได้แก่
ระบบศักดินาสวามิภักดิ์และอำนาจของศาสนจักรซึ่งก็คือศาสนาคริสต์
ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ : ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นการอยู่ร่วมกันในลักษณะของสัญญาต่างตอบแทน คือ
การที่ ทาสหรือสามัญชนทั่วไปที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ไปขอความช่วยเหลือจากขุนนาง โดยทำสัญญากัน
ในลักษณะของการสาบานว่าเจ้าของที่ดินจะยกที่ดินให้แก่ขุนนางเพื่อให้ขุนนางได้รับประโยชน์จากที่ดินดัง
กล่าว ในขณะเดียวกันขุนนางมีหน้าที่ต้องปกป้องที่ดินและทาสติดที่ดิน ดังนั้น ขุนนางจึงเปรียบเสมือนเจ้า
ศักดินาส่วนสามัญชนเป็นผู้อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าศักดินา
อิทธิพลของระบบศักดินาสวามิภักดิ์ต่อกฎหมาย ในยุคกลาง : ขุนนางและอัศวินมิได้มีกองกำลังทหารที่เข้มแข็ง
มาก จึงต้องพึ่งพาผู้ที่มีอำนาจและบารมีมากกว่า จึงได้มีการทำสัญญากับกษัตริย์อีกทอดหนึ่งเรียกลักษณะของ
การยกที่ดินให้แล้วสาบานกันเป็นทอดๆว่า “ศักดินาสวามิภักดิ์” ดังนั้น ระบบศักดินาสวามิภักดิ์หมายความว่า
กษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดและยอมยกที่ดินให้ผู้ใต้ปกครอง ได้ใช้อำนาจปกครองเป็นลำดับชั้นไป
ศาสนาคริสต์ : จุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ที่ส่งผลต่อกฎหมายในยุคกลาง คือ ประเพณีการสวมมงกุฎ การที่
กษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณาจักรยอมให้พระสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้นำทางด้านศาสนจักรสวมมงกุฎให้
แสดงให้เห็นแม้แต่กษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรก็ยังทรงยอมอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนา
พระสันตะปาปาและนักบวชจึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองและการใช้อำนาจของ
กษัตริย์มากขึ้น
เป็นการ
กฎหมายในยุคกลาง : ในช่วง ค.ศ. 300-700 ระบบศักดินาสวามิภักดิ์เป็นเครื่องมือในการจัดรูปแบบการ
ปกครองอาณาจักรฟรองค์ อิทธิพลของระบบศักดินาสวามิภักดิ์ทำให้กฎหมายเอกชนครอบงำกฎหมายมหาชน
คือการที่เจ้าของที่ดินยอมตนอยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางและขุนนางยินยอมอยู่ภายใต้การปกครองของ
กษัตริย์โดยการสาบานตนกันเป็นทอดๆว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าศักดินาโดยยกที่ดินให้เป็นการตอบแทนอยู่ภาย
ใต้หลักการตกลงและความยินยอมซึ่งเป็นหลักกฎหมายเอกชน
อิทธิพลของศาสนาคริสต์ต่อกฎหมายในยุคกลาง : เมื่อคริสต์ศาสนา
เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการเมืองการการ
ปกครองในยุคกลาง นอกจากพระและนักบวชจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
แล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีต่างๆนักบวชต่างก็เข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย ใน
เวลาต่อมาศาสนจักรจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะในเรื่องของระบบกฎหมายและวิธีพิจารณาคดี
การที่ศาสนาจักรเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูประบบกฎหมายจึงทำให้กฎหมายศาสนาเริ่มมี
บทบาทสำคัญกฎหมายศาสนาเป็นเพียงศีลธรรมซึ่งในบางครั้งไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้แต่ต้องอาศัย
กฎหมายบ้านเมืองเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาด้วย จึงก่อให้เกิดแนวคิดในการแยกกฎหมายศาสนาและ
กฎหมายบ้านเมืองออกจากกันโดยที่กฎหมายศาสนาเปรียบเสมือนคุณธรรมที่เป็นหลักในการดำเนินชีวิตส่วน
กฎหมายบ้านเมืองเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการตรากฎหมายเพื่อใช้บังคับในอาณาจักรและ
กฎหมายที่ตราโดยกษัตริย์จะต้องไม่ขัดกับกฎที่ศาสนจักรได้กำหนดขึ้น
Made with Goodnotes

ページ3:

mare
sheet
0801121
กฎหมายมหาชนเบื้องต้น
By Hatchaporn
ฉบับไฟนอล 1 / 2024
18 BAHT
0801121 กฎหมาย
มหาชนเบื้องต้น
Final 1 / 2024
By Hatchaporn
18
บาท
จํานวนหน้า
...
เพิ่มไปยังรายการโปรด
แชร์ไปที่ Facebook
รายละเอียดตอนเรียน
เชค S105
เนื้อหาที่ออกสอบเหมือนกันทุกเชค
รายละเอียดเพิ่มเติม
แนวข้อสอบที่ออกสอบจริงของ ปี1 เทอม 1
2024